หมอลักษณ์มีเชื้อสายจีน และได้ย้ายภูมิลำเนามาอยู่กรุงเทพฯ ในปี พ.ศ. 2528 เพื่อศึกษาต่อระดับมัธยมศึกษาตอนต้นที่โรงเรียนวรนาถวัฒนา ในเครือสตรีวรนาถ ของคุณหญิงเชิญ พิศัลยบุตร แล้วได้เข้าต่อในดับมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่โรงเรียนมัธยมวัดมกุฏกษัตริย์ แต่มาจบการศึกษาในระดับมัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่โรงเรียนดอนเมืองทหารอากาศบำรุง และศึกษาระดับอุดมศึกษาที่มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี คณะเศรษฐศาสตร์ สาขา เศรษฐศาสตร์ธุรกิจ และศึกษาต่อในระดับปริญญาโท คณะพุทธศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
หมอลักษณ์เริ่มศึกษาโหราศาสตร์ ในระหว่างที่ศึกษามัธยมศึกษาปีที่ 4 ใช้เวลาหลังเลิกเรียนไปอ่านตำราพรหมชาติที่หอสมุดแห่งชาติ โดยศึกษาสรรพตำราโหราศาสตร์/หัตถศาสตร์ทุกเล่มในหอสมุดแห่งชาติ ระยะต่อมาก็ไปเรียนที่สมาคมโหรแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ตรงข้ามวัดบวรนิเวศ และศึกษาจากสรรพตำราทุกเล่มในห้องสมุดสมาคมโหรฯตึกวชิรญาณและศึกษาตำราโหราศาสตร์ของหลวงวิศาลดรุณกร
ในปีพ.ศ. 2534 หมอลักษณ์เริ่มศึกษาวิชาหัตถศาสตร์หรือวิชาการดูลายมือกับครูคนแรกคือ พันเอกปรีชา แดงบุปผา และอาจารย์สอนวิชาโหราศาสตร์ไทยคนแรกคือ พัฒนา พัฒนศิริ คุณครูโหรโบราณคนแรก คือ ชุบ โทนมณี ทั้งยังศึกษาตำราของ เทพ สาริกบุตร ไปด้วย หมอลักษณ์เริ่มใช้วิชาหมอดูส่งตัวเองเรียนตั้งแต่เรียนปริญญาตรีปี 2 เทอม 2 ในงานกาชาด จากนั้นก็ดูเป็นอาชีพหาเงินส่งตัวเองเรียนจนจบปริญญาตรี
ในปีพ.ศ. 2547 หมอลักษณ์เริ่มมีชื่อเสียงจากการเป็นหมอดูที่จัดรายการโทรทัศน์ ได้มีหมอดูหลายคนลองผูกดวงของเขาพบว่ามีลัคนาราศีตุล แต่ดาวมฤตยูไม่สัมพันธ์ลัคนา วงการหมอดูจึงมองว่าหมอลักษณ์เหมือนเป็นดารามากกว่าหมอดู เพราะการพูดที่มีเสน่ห์ ความสามารถในการเอ็นเตอร์เทนและความคิดสร้างสรรค์ ทำให้มีผู้ชมรายการของเขาจำนวนมากและการทำนาย 12 ราศีนั้นทำนายแบบกว้าง ๆ เพราะเป็นการทำนายคนทั้งประเทศไม่ได้เจาะจงผูกดวงลัคนาเฉพาะบุคคล ด้วยดวงชะตาเป็นคนมีเสน่ห์ จึงไม่อาจจะทำให้ความนิยมจากมหาชนสั่นคลอนได้เลย อีกทั้งหมอลักษณ์ยังทำให้คนไทยหันมาสนใจโหราศาสตร์มากขึ้นอีกด้วย